นับหนึ่งใหม่!เตรียมตั้งกก.หลักสูตรแห่งชาติ ทำหน้าที่วิเคราะห์แนวเรียน

นับหนึ่งใหม่!เตรียมตั้งกก.หลักสูตรแห่งชาติ ทำหน้าที่วิเคราะห์แนวเรียนรู้ประถม-มหา\'ลัยเสนอที่ประชุม5แท่ง14ส.ค.นี้

\"สุทธศรี\" เผยแนวทางปฏิรูปการศึกษา เตรียมประชุมตั้งคณะกรรมการหลักสูตรและการเรียนรู้แห่งชาติในวันที่ 14 ส.ค.นี้ เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์หลักสูตรพื้นฐาน อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา จะได้สร้างคนได้ตามเป้า ก่อนส่งให้ให้ คสช.พิจารณาต่อไป
นางสุทธศรี วงษ์สมาน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการจัดทำร่างโรดแม็พ (Road Map) ปฏิรูปการศึกษา (ปี พ.ศ.2558-2564) ว่า ตามที่ ศธ.ได้จัดเวทีระดมความคิดเห็นจากทุกฝ่ายจนนำมาสู่การวางกรอบแนวทางไว้ 6 เรื่อง ได้แก่ 1.ปฏิรูปครู 2.เพิ่ม-กระจายโอกาสและคุณภาพอย่างทั่วถึง เท่าเทียม 3.ปฏิรูประบบการบริหารจัดการ 4.การผลิตและพัฒนากำลังคนเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน 5.ปฏิรูปการเรียนรู้ และ 6.ปรับระบบการใช้ไอซีทีเพื่อการศึกษา โดยตนได้มอบหมายให้คณะเลขานุการไปรวบรวมข้อมูล ความคิดเห็นรอบด้านอีกครั้ง เพื่อนำมาเสนอต่อการประชุมคณะกรรมการอำนวยการปฏิรูปการศึกษาของ ศธ. ที่มีตนเป็นประธาน และมีผู้บริหารองค์กรหลัก ศธ.เป็นรองประธาน ในวันที่ 14 สิงหาคมนี้ โดยการประชุมดังกล่าวจะหารือกับที่ประชุมเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะกรรมการหลักสูตรและการเรียนรู้แห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์หลักสูตรพื้นฐาน อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา เพื่อวางแผนและกำหนดเป้าหมายพัฒนาคนมีความรู้ความสามารถในแต่ละด้าน แต่ละดับ ตามเป้าหมายที่พึงประสงค์ เพื่อเสนอแนวทางการปฏิรูปการศึกษาให้ คสช.พิจารณาต่อไป
ปลัด ศธ.กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แสดงความห่วงใยเรื่องการศึกษาของเด็กทั้งการเรียนที่มากเกินไป เด็กกวดวิชา ปัญหาขาดแคลนผู้เรียนสายอาชีพ และยังยกตัวอย่างด้วยว่ามีเด็กจบอุดมศึกษาถึง 53% ที่ตกงาน จึงอยากให้ ศธ.แก้ไขวางระบบให้เชื่อมโยงกัน และยังอยากให้เร่งแก้ไขปัญหาการศึกษาในเรื่องต่างๆ อาทิ การลดเวลาเรียน การพัฒนาทักษะชีวิตของผู้เรียนในระดับพื้นฐาน อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา โดยจะต้องให้สอดคล้องกับคุณลักษณะตามค่านิยมหลักของคนไทย 12 ประการของ คสช.มาหารือ เพื่อจะดูว่ามีเรื่องใดบ้างที่องค์กรหลักสามารถไปบูรณาการกับการทำงานเพื่อให้เกิดผลได้ทันที
อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ ศธ.วางไว้คร่าวๆ คือ ขอให้แต่ละองค์กรหลักไปดำเนินการ เช่น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ไปดูแลเรื่องการปรับลดเวลาเรียน หลักสูตร รวมถึงกิจกรรมการเรียนการสอนที่เหมาะสมควรเป็นแบบใด เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปิดให้มีวิชาเลือกมากขึ้น เพื่อให้เด็กได้เลือกเรียนในสิ่งที่ตนถนัดและสนใจ เพื่อให้เด็กสามารถนำไปต่อยอดพัฒนาตัวได้ ส่วนสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ขอให้ไปดูการสร้างสุภาพบุรุษอาชีวศึกษาจะมีมาตรการอย่างไร รวมทั้งการส่งเสริมให้คนมาเรียนสายอาชีพเพิ่มขึ้นจะจูงใจได้อย่างไร ซึ่งตรงนี้จะเร่งผลักดันระบบคุณวุฒิวิชาชีพให้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น ซึ่งจะช่วยการันตีความสามารถในทักษะวิชาชีพ ไม่ใช่การรับรองปริญญา ส่วนคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะขอให้ไปดูการส่งเสริมให้มีผู้เรียนในสาขาที่ประเทศต้องการจบไปแล้วมีงานทำ ทั้งนี้ อาชีวศึกษาเป็นการเรียนเพื่อการมีอาชีพ ส่วนอุดมศึกษาเรียนเพื่อการศึกษาและมีงานทำ ซึ่งทั้ง 2 ระดับมีความสำคัญต่อการเตรียมความพร้อมคนสู่ตลาดแรงงาน” นางสุทธศรีกล่าว
ปลัด ศธ.กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนมองว่ารัฐต้องเข้ามาช่วยโดยใช้กลไกของกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) และกองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนได้เรียนโดยเฉพาะในสาขาที่ขาดแคลน ซึ่งปัจจุบัน กรอ.แม้จะให้กู้ในสาขาที่ขาดแคลน แต่ก็พบว่ามีผู้กู้ยืมน้อย เพราะฉะนั้นควรจะต้องมาทบทวนข้อดี-ข้อเสียทั้ง 2 กองทุน และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ โดยตนมีแนวคิดว่าการพัฒนาและแก้ไขปัญหาจะต้องทำในภาพรวม ซึ่งควรมีคณะกรรมการกลางที่มาทำหน้าที่ตรงนี้.


ที่มา:หนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์



13/08/2557