ปฏิรูปประเทศไทย : การศึกษา!
ทั้งนี้ การวางแผนและกำหนดนั้นคงไม่สามารถเดินงานได้อย่างทันท่วงที อาจจะเป็นเพียงนโยบายเร่งด่วนเท่านั้นหรือระยะสั้น ที่อาจจะดำเนินการได้เลยภายในหนึ่งปี และขอย้ำว่าถ้าจะกำหนดระยะกลางและระยะยาวนั้น ควรศึกษาภายใน 1-2 เดือน และเร่งจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อทำการศึกษาได้เลย พร้อมทั้งกำหนดงบประมาณและวางแผนในเชิงโรดแมป (ROAD MAD) ได้ภายใน 6 เดือน โดยรัฐบาลชุดต่อไปต้องไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
อย่างไรก็ตาม มากล่าวถึง นโยบายปฏิรูปการศึกษา ต่อจาก นโยบายการบริหารจัดการน้ำ และ นโยบายคณะกรรมการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อ อุตสาหกรรมการส่งออก จากสัปดาห์ที่แล้ว เป็นกรณีข่าวคราวที่น่าตกใจอย่างมากที่ องค์การเวิลด์อีโคโนมิคฟอรั่ม (WEF : WORLD ECONOMIC FORUM) ได้ทำรายงานข้อมูลเปรียบเทียบดัชนีคุณภาพการศึกษาของประเทศสมาชิกทั้งหมด 144 ประเทศทั่วโลก
ถ้าจะพิจารณาเฉพาะดัชนีการศึกษาทำให้น่าวิตกอย่างมาก ที่คุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานหรือระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาของไทยเราอยู่ อันดับ 7 ของอาเซียน จากปีที่แล้วอยู่อันดับ 6 แต่ถูกประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เบียดแซงโค้งทำให้ไทยตกอันดับไปแล้ว
และชั้นอุดมศึกษาหรือระดับมหาวิทยาลัยอยู่อันดับ 8 ของอาเซียนตามหลังสปป.ลาวที่อันดับ 6 แต่น่าเจ็บใจที่ประเทศกัมพูชาอยู่อันดับ 7 ของอาเซียนไปเรียบร้อย ทั้งนี้ จากปีที่แล้วพ.ศ.2556 ประเทศไทยเราอยู่อันดับที่ 86 ของโลก แต่ปัจจุบันสปป.ลาวทิ้งห่างไทยไปอยู่อันดับ 79 ของโลก ในระดับพื้นฐาน ส่วนอุดมศึกษานั้น ไทยอยู่อันดับที่ 78 ของโลก กัมพูชาอยู่อันดับ 76 ของโลก แต่ปัจจุบันไทยอยู่อันดับที่ 80 ของโลก
อ่านข้อมูลดูแล้วต้องอุทานตามตรงว่า บ้ากันแล้ว สำหรับ การศึกษาไทย ที่ต้องเรียกว่า ดิ่งเหว! ลงแทบทุกปี ต้องถามต่อว่า เกิดอะไรขึ้นกับการศึกษาไทย ต้องเรียนว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาท่านใหม่! คงจะต้องปวดหัวพอสมควรกับการปฏิรูปการศึกษาไทยอย่างปัจจุบันทันด่วน!
จริงๆ แล้วสภาพสังคมไทยมีความเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เป็นการเจริญเติบโตทางด้าน วัตถุ หรือเรียกว่า วัตถุนิยม ก็อาจเป็นได้ ที่ทุกรัฐบาลมุ่งเน้นการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจ กล่าวคือ เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุน และการบริโภค จนลืมไปว่า การสร้างอนาคตของชาติ คือ การสร้างคน หรือ พัฒนาการทรัพยากรมนุษย์ ให้ คนเรามีความคิด-มีปัญญา เพื่อจะดำเนินการพัฒนาประเทศชาติให้เดินหน้าสู่อนาคตที่ดีได้
ขอย้ำอีกครั้งว่า เมื่อหลายสิบปีที่แล้วเราคงจำกันได้ถึงคำว่า นิคส์ (NICS) หรือ NEWLY INDUSTRIAL COUNTRIES หรือ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ที่จะทำให้กลุ่มประเทศในเอเชียพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว จนมีคนแอบล้อเลียนว่า คงไม่ใช่นิคส์หรอก น่าจะเป็นนรกอีสคัมมิ่งซูน! หรือ นรกกำลังจะมาเร็วๆ นี้!
จนปัจจุบัน การศึกษาไทย มีแต่จะดิ่งเหวทำให้ รัฐบาลบิ๊กตู่1 ต้องรีบจัด ทีมพัฒนาด้านการปฏิรูปการศึกษา อย่างเร่งด่วน เพื่อทำให้เกิดโรดแมปภายในไม่น่าเกิน 6 เดือน เพียงแต่ว่า กระทรวงศึกษาธิการ สำหรับข้าราชการระดับสูงและกลางต้องตระหนักอย่างหนักว่า การศึกษาไทยเราดิ่งเหว! ทุกวัน หรืออาจถามกลับว่า WEF ใช้เกณฑ์อะไรในการวัดผล
ทั้งนี้ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ครู! ที่จะต้อง สำนึก-ตระหนัก ให้ได้ว่า ตนเองคือบุคคลสำคัญ ในการ ปฏิรูปการศึกษา ที่เด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาล ระดับประถมฯ ระดับมัธยมฯ จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับดูแลของบรรดาครูทั้งหลายที่มีกระจายอยู่ทั่วไป
ผมบังเอิญเดินทางไปส่งลูกชายทั้งสามคนศึกษาในประเทศอังกฤษตั้งแต่ชั้นประถมศึกษายาวตลอดจนจบปริญญาโทในระยะเวลา 10 กว่าปี หรือแม้กระทั่งตนเองได้ศึกษาตั้งแต่มัธยมศึกษาตอนปลายเพียงหนึ่งปี และศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่มลรัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา
เด็กระดับอนุบาลอายุเพียง 6-8 ปี สมองยังไม่สามารถมีความตั้งใจจะเรียนได้ เรียกว่า ยังเล่น-ยังรักสนุก อยู่มาก เท่านั้นยังไม่พอยัง สมาธิสั้น อีกต่างหาก ดังนั้น เด็กอนุบาลบ้านเราแบกหนังสือจนหลังแอ่น! แต่เด็กอนุบาลของเขาเพียงสามารถศึกษาในกรณีระเบียบวินัย เคารพกฎเกณฑ์ และพออ่านออกเขียนได้เท่านั้น และช่วงบ่ายให้เล่นกีฬาเพียงเล็กน้อย แล้วหลับนอนตามอัธยาศัย
พอมาจนถึงระดับประถมศึกษา จึงให้ศึกษาความรู้ขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ต้องรู้จักระเบียบวินัย รู้จักกฎเกณฑ์ และไม่สำคัญเท่ากับว่าต้องรู้จัก แยกแยะ ว่า ผิด ชอบ ชั่ว ดี เป็นอย่างไร จนเลยถึง หิริโอตัปปะ : เกรงกลัวละอายต่อบาป ทั้งนี้ว่าไปแล้วถ้าเด็ก วัยเจริญพันธุ์ เคารพกฎกติกา กฎเกณฑ์ ระเบียบวินัย และเคารพสิทธิของผู้อื่น จน เคารพกฎหมาย ทั้งภายในโรงเรียน ภายในบ้าน และภายในชุมชน บุคคลเพียงแค่นี้น่าจะมีคุณภาพแล้ว!
โดยที่ช่วงบ่ายต้องเล่นกีฬา เพื่อมีอุปนิสัยเป็น คนมีน้ำใจนักกีฬา หรือ รู้จักแพ้ รู้จักชนะ! ซึ่งมีการจัดระบบการศึกษาในช่วงตอนเช้า และเล่นกีฬาในตอนบ่าย จนหัวค่ำค่อยกลับมาทบทวนตำราอีกครั้งหนึ่งประมาณ 1 ชั่วโมง หรือชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
การศึกษาขั้นพื้นฐานสำคัญอีกประเด็นหนึ่งในการสร้าง วัฒนธรรมการอ่าน ให้เด็ก รักการอ่าน และ รักการค้นคว้า ซึ่งโลกปัจจุบันมีข้อมูลมากมายหลากหลายในอินเตอร์เน็ท กูเกิ้ลที่เยอะมาก จึงมีความสำคัญให้เด็กรักการอ่านหนังสือ มิใช่เอาแต่เดินเล่นตามห้างสรรพสินค้าหรือเล่นเกมส์!
ที่มา:หนังสือพิมพ์สยามรัฐ