จับต่างชาติซุกบึ้ม ถือพาสปอร์ตตุรกีปลอมพบอุปกรณ์เหมือนระเบิดราชประสงค์

ทหาร-ตำรวจบุกรวบชายตุรกีคาอพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก พบอุปกรณ์ประกอบระเบิดอื้อ พร้อมลูกปรายแบบกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 ซม. เหมือนระเบิดที่ราชประสงค์-สาทร คุมตัวรีดข้อมูลที่ราบ 11 \"สมยศ\" เผยเข้ามาฝังตัวในไทยตั้งแต่ มกราคม 2557 ยันไม่ใช่ก่อการร้ายข้ามชาติ แต่เป็นความเจ็บแค้นแทนเพื่อนฝูงพี่น้องที่อาจถูกจับกุมมาก่อน มีคนไทยร่วมทีมด้วย

ตลอดทั้งวันเสาร์ที่ผ่านมาตกเป็นข่าวฮือฮา เมื่อกำลังตำรวจจำนวนมากเข้าปิดล้อมอพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก ท่ามกลางกระแสข่าวเป็นการจับกุมกลุ่มคนร้ายที่วางระเบิดแยกราชประสงค์และสาทร อย่างไรก็ตาม ในช่วงเช้ามีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของนายตำรวจระดับสูง โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เรียกประชุมด่วน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น., พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบช.ส., พล.ต.ต. รณศิลป์ ภู่สาระ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ชาญเทพ เสสะเวช รอง ผบช.น.,พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรไชยเดช ผบก.น.6 และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดีระเบิดแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร ร่วมประชุมหารือและสรุปความคืบหน้าคดีดังกล่าวให้ที่ประชุมทราบ

พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้วิธีการให้ตำรวจนอกเครื่องแบบร่วมกับอาสาสมัครที่มีความรู้ความชำนาญด้านภาษา ลงพื้นที่แฝงตัวในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งในแหล่งท่องเที่ยวและแหล่งที่พักอาศัยของชาวต่างชาติ เพื่อหาข่าวและข้อมูลของคนร้ายที่ก่อเหตุระเบิด การสอบสวนพยานทุกคน ตลอดจนสรุปความคืบหน้าในการตรวจสอบกล้องวงจรปิดทั้งของภาครัฐและเอกชน การนำอุปกรณ์พิเศษที่ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากต่างประเทศและบริษัทเอกชนต่างๆ ผลเป็นที่น่าพอใจว่าจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทในการคลี่คลายคดีของเจ้าหน้าที่ ทำให้คดีมีความคืบหน้าไปมาก จนทำให้สามารถทราบถึงกระบวนการและกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ร่วมกันก่อเหตุ

\"มีความชัดเจนมากขึ้นว่าคนร้ายน่าจะมีหลายคนทำเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ และน่าจะมีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ชุดดังกล่าวเร่งทำการสืบสวนสอบและติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนและต่างชาติ และ มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสามารถจับกุมคนร้ายได้ในเร็วๆ นี้\" ผบ.ตร.กล่าว

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีกำลังเฝ้าติดตามคดีนี้อย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่สามารถระบุคนร้ายที่ก่อเหตุได้ว่าเป็นชาวไทยหรือชาวต่างชาติ รวมถึงไม่สามารถระบุได้ว่าขบวนการนี้มีผู้ร่วมก่อเหตุจำนวนกี่คน

ส่วนมือระเบิดท่าเรือสาทรนั้น มีคนเข้ามาแจ้งเบาะแสบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีข้อมูลที่ละเอียดมากเพียงพอ ซึ่งเรื่องดังกล่าวตนไม่สามารถเปิดเผยได้ ในส่วนของโชเฟอร์แท็กซี่ที่รับชายเสื้อเหลืองมือระเบิดแยกราชประสงค์นั้น ได้เข้ามาให้ปากคำในฐานะพยาน 2-3 ครั้ง ซึ่งในแต่ละครั้งข้อมูลไม่เหมือนกัน เนื่องจากมีอาการหลงๆ ลืมๆ จึงจำเป็นต้องทบทวนความทรงจำสักระยะ ซึ่งข้อมูลล่าสุดเผยว่า รับชายเสื้อเหลืองจากบริเวณพระราม 3 และลงทางด่วนพระราม 4

เห็นเค้าลางบางส่วน

พล.ต.ท.ประวุฒิชี้แจงเรื่องนี้ว่า คนร้ายยังหลบหนีอยู่ในประเทศไทย ซึ่งจากการตรวจสอบด่านออกนอกประเทศ ยังไม่มีลักษณะตำหนิรูปพรรณคนร้ายหลบหนีออกนอกประเทศแต่อย่างใด ขณะที่การลงตรวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวยังมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัย แต่ยังใช้ชีวิตปกติและไม่เกรงกลัวต่อสถานการณ์

ด้าน พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงความคืบหน้าผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงสถานการณ์ความคืบหน้าเหตุระเบิดว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสืบคดีล่าสุดว่า ยังคงมีความก้าวหน้าตามลำดับห้วงเวลา การสืบทางเทคนิค ทั้งจากกล้องซีซีทีวี หรือผลพิสูจน์จากงานด้านนิติวิทยาศาสตร์ ถูกเก็บบันทึกเพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการเปรียบเทียบพิสูจน์ทราบบุคคลต้องสงสัยดำเนินการไปเกือบครบถ้วนแล้ว การสืบด้วยข้อมูลทางด้านสังคม การดำเนินชีวิต เช่น การคัดกรองผู้เข้าพักอาศัยในพื้นที่หรือชุมชนต่างๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการในลักษณะปูพรมในทุกๆ พื้นที่ ด้วยกำลังจากตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง รวมถึงการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากพี่น้องประชาชน ซึ่งในส่วนนี้จำเป็นต้องใช้เวลา เพื่อให้ผลลัพธ์มีความสมบูรณ์มากที่สุด

\"เจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจ พอจะมองเห็นเค้าลางบางส่วน แต่คงต้องรอองค์ประกอบอื่นๆ มาสนับสนุนอย่างเพียงพอสำหรับการดูแลความปลอดภัยต่อบุคคลและสถานที่ยังคงมีการปรับให้เกิดความเหมาะสมโดยหน้าที่ทหารและตำรวจอย่างดีที่สุด\" โฆษกคสช.กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปูพรมเข้าตรวจค้นชุมชนต่างๆ ตามที่ พ.อ.วินธัยระบุนั้น จุดหนึ่งคือพูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ ย่านหนองจอก ซึ่งในช่วงบ่ายมีตำรวจและทหารกว่า 100 นาย นำโดย พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา ผบก.สส.บชน. เข้าปิดล้อมอพาร์ตเมนต์ดังกล่าว ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนเชื่อมสัมพันธ์ ซอยเชื่อมสัมพันธ์ 11 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กรุงเทพฯ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร เข้าตรวจสอบห้องพักเลขที่ 412 และ 414 หลังสืบทราบมีการประกอบระเบิดและซุกซ่อนวัตถุระเบิด

จากการตรวจค้นสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ภายในห้องเลขที่ 412 ขณะเดียวกันพบของกลางอุปกรณ์และวัตถุที่ใช้สำหรับประกอบระเบิดจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกปรายแบบกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 ซม. ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่พบที่ศาลท้าวมหาพรหมราชประสงค์และสะพานสาทร รวมทั้ง ฝักแคหรือตัวจุดชนวนระเบิดและเสื้อเชิ้ตที่เปื้อนสารระเบิดทีเอ็นทีและยูเรีย พร้อมทั้งพบสารตั้งต้นที่สามารถนำมาทำระเบิดได้ ซึ่งสารบางชนิดสามารถหาซื้อได้ในประเทศไทย ขณะที่บางชนิดต้องนำเข้าจากต่างประเทศ โดยพบทั้งหมดภายในห้องเลขที่ 412 และ 413 นอกจากนี้พบว่าห้องเลขที่ 411 เเละ 414 นั้นเป็นห้องเช่าเปล่า ที่ผู้ต้องหาเปิดเช่าไว้

เป็นชาวตุรกี

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กันผู้สื่อข่าวและประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องออกห่างจากพื้นที่อพาร์ตเมนต์รัศมีโดยรอบประมาณ 100 เมตร โดยให้อยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามเท่านั้น พร้อมปิดช่องการจราจรบนถนนเชื่อมสัมพันธ์ ฝั่งขาออก โดยเปิดการจราจรให้รถวิ่งเพียง 1 ช่อง ส่งผลให้การจราจรทั้งสองฝั่งติดขัดเป็นอย่างมาก

ต่อมา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาถึงที่เกิดเหตุ และเข้าทำการตรวจสอบในพื้นที่ทันที

อย่างไรก็ตาม ทีมจับกุมได้ตรวจค้นห้องพักของชายคนดังกล่าว พบอุปกรณ์และวัตถุที่ใช้สำหรับประกอบระเบิดจำนวนมาก โดยเฉพาะลูกปรายแบบกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 ซม. ชนิดเดียวกับที่พบที่ราชประสงค์และท่าเรือสาทร ทั้งนี้คาดว่าอุปกรณ์ที่เหลือยังสามารถประกอบระเบิดได้อีกจำนวนมาก และคาดว่ามีการเตรียมก่ออีกซ้ำด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ต้องหาเป็นชายหนุ่มสัญชาติตุรกี ชื่อนาย ADEM KARADAG อายุ 28 ปี เป็นชาวเมืองอิสตันบูล โดยจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีนาย AMMET MEHMET EMIN AYSE ชาวตุรกี เป็นผู้เช่าห้องไว้ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา

เวลา 17.15 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่นำตัวนาย ADEM KARADAG ซึ่งใส่เสื้อสีเหลือง มีผ้าสีดำคลุมศีรษะลงมาถึงต้นคอ มาขึ้นรถอีซูซุมิว 7 สีดำ ทะเบียน ฎพ 3038 กรุงเทพมหานคร ก่อนเจ้าหน้าที่จะรีบขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว รวมทั้งมีการกั้นบริเวณถนนเพื่อไม่ให้สื่อมวลชนติดตามไป ซึ่งมีรายงานว่าถูกนำตัวไปสอบสวนที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์

อย่างไรก็ตาม จากบันทึกการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ระบุวันที่ตรวจค้นวันที่ 29 ส.ค. มีการเข้าตรวจค้นสถานที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ เลขที่ 134/5 หมู่ที่ 2 ถ.เชื่อมสัมพันธ์ ปากซอย 11 (อพาร์ตเมนต์ 4 ชั้น) โดยผู้ร่วมตรวจค้นแบ่งเป็น 4 ชุด ประกอบด้วย ทหาร ตำรวจ อีโอดี พฐ เจ้าของผู้ดูแล ชื่อ น.ส.วราภรณ์ สหัสรังสิกุล อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 40/3 หมู่ที่ 7 แขวงโคกแฝด เขตหนองจอก กทม. โดยระบุผู้เช่า นาย Ahmet Mehnet Eminayse คนตุรกี ได้เช่าห้องเลขที่ 404, 409, 410, 411, 412 ได้เริ่มเช่าตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค.2557 พบของกลาง ประกอบด้วย 1.เสื้อเชิ้ต พบสารเกี่ยวกับระเบิดกลุ่ม 1 (ทีเอ็นที, ซีโฟร์) 2.เสื้อละหมาด พบสารเกี่ยวกับระเบิดกลุ่ม 3 (ยูเรีย)

3.ลูกเหล็กกลม (ลูกปืน) บรรจุถุงพลาสติกทำเป็นแพ็กแบนๆ 4.ถ่านไฟฉายหลายขนาด (กลมและเหลี่ยม) 5.อุปกรณ์สายไฟฟ้า หัวเชื่อมเทปพันสายไฟ 6.ไขควง กรรไกร 7.แกลลอนบรรจุสารเคมี (ยังไม่ทราบชนิด) 8.กล่องกระดาษบรรจุเคมีพันธ์ (โซเดียมคาร์บอเนต) 9.ท่อเหล็กเกลี้ยง 2 ด้าน ขนาดต่างๆ พร้อมฝาครอบเหล็ก 10.ผ้าเย็บสำหรับพันรอบเอวติดตีนตุ๊กแก 11.สายชนวนสีชมพู ยาว 8 ซม. จำนวน 10 เส้น

เข้ามาตั้งแต่ ม.ค.57

ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ในช่วงเย็นก่อนออกจากพื้นที่ว่า ทหาร ตำรวจสามารถจับกุมชาวต่างชาติได้ 1 คน แจ้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง พร้อมของกลางจำนวนมาก ส่วนจะเชื่อมโยงอย่างไรยังไม่ขอตอบ

เขาบอกว่า ได้มอบหมายให้ทหารควบคุมไป ซึ่งเราต้องสอบสวนตามขั้นตอน เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นชาวต่างชาติ ต้องมีล่ามและเจ้าหน้าที่ของสถานทูตร่วมสอบสวนด้วย

ผู้สื่อข่าวรายหนึ่งถามว่า จับแพะหรือเปล่า พล.ต.อ.สมยศตอบอย่างไม่พอใจ พร้อมชี้หน้าว่า คุณถามสร้างสรรค์หน่อย คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า ผมไม่แคร์คุณหรอกนะ เรากำลังอยู่ในบรรยากาศที่ดีขึ้น กลับเสียไป ก่อนที่จะเดินออกไปทันที

เขาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง เวลา 19.00 น. ณ ห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกล่าวว่า ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถคลี่คลายเหตุการณ์ได้ โล่งใจ มั่นใจว่าผู้ต้องหาที่ควบคุมตัวได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอน เนื่องจากหลักฐานที่พบเป็นของกลางชนิดเดียวกันหรือคล้ายกัน ยืนยันว่าก่อนที่เจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวได้มีการสืบสวนหาข่าวและพยานหลักฐานหลายอย่างประกอบ จนมีความมั่นใจว่าเป็นคนร้ายที่ทำกันเป็นขบวนการ และทำผิดกฎหมายมาตั้งแต่ต้น

พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ปฏิบัติการจับกุมและตรวจค้นเมื่อเวลา 05.00 น. ของวันที่ 29 ส.ค. ซึ่งจุดเริ่มต้นในการสืบสวนจับกุมมาจากการที่ผู้ต้องหาใช้พาสปอร์ตปลอม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินการตรวจสอบสัญชาติของผู้ต้องหาต่อไป

ในการนี้ ผบ.ตร.เปิดเผยว่า ไม่น่าเป็นการก่อการร้ายข้ามชาติ แต่เป็นความเจ็บแค้นแทนเพื่อนฝูงพี่น้องที่อาจถูกจับกุมมาก่อน เป็นความโกรธแค้นที่มีมานานแล้ว เพราะผู้ต้องหารายนี้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ประมาณ 1 ปีแล้ว

\"เจ้าหน้าที่ทราบว่าคนกลุ่มนี้มาอย่างไร เป็นใคร และก่อเหตุเพื่ออะไร อย่างที่เคยบอกว่าน่าจะมีประมาณ 10 คน โดยกลุ่มคนที่ก่อเหตุน่าจะเจ็บแค้นส่วนตัว ไม่น่าจะเป็นการก่อการร้ายข้ามชาติ บางคนอาจจะหลบหนี หรืออาจจะเดินทางออกนอกประเทศ ส่วนรายละเอียดต่างๆ ยังต้องสอบปากคำกันอีก กลุ่มคนร้ายน่าจะมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่เดือน ม.ค. 2557 และทำผิดกฎหมายมาตั้งนานแล้ว\" ผบ.ตร กล่าว

อย่างไรก็ตาม การใช้อำนาจจับตามกฎหมาย หลังจากที่เจ้าหน้าที่ทหารดำเนินการควบคุมตัวตามมาตรา 44 เเล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตัวมาสอบสวนขยายผลต่อ

โยงบึ้มราชประสงค์

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ให้สัมภาษณ์ว่า ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนตามแนวทางที่วางไว้ต่อเนื่อง จนสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ โดยในการจับกุมครั้งนี้พบของกลางอุปกรณ์ประกอบระเบิดหลายอย่าง รวมทั้งมีบอลแบริ่งรวมอยู่ด้วย และพบพาสปอร์ตอีกหลาย 10 เล่ม โดยสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 1 คน ซึ่งจะขยายผลต่อไปซึ่งเชื่อว่าจะมีผู้เกี่ยวอีกหลายคน

\"ส่วนประกอบระเบิด เรามั่นใจว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับระเบิดราชประสงค์\" พล.ต.อ.จักรทิพย์กล่าว และว่า นอกจากจุดที่จับผู้สงสัยได้ยังมีอีก 7 จุดที่จะมีการปิดล้อม ตรวจค้น ซึ่งจะเป็นจุดพื้นที่ไหนนั้นขอไม่เปิดเผย

รอง ผบ.ตร.กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดเหตุระเบิดราชประสงค์ สาทร ตำรวจไม่ได้หยุด ทำทุกมิติตามสมมุติฐานตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ยืนยันว่าทำให้ดีที่สุด

พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษก ตร. เปิดเผยว่า ผู้ต้องสงสัยดังกล่าวได้ถือพาสปอร์ตปลอมที่ระบุว่าเป็นพาสปอร์ตตุรกี ขณะเดียวกันจากการตรวจพบชิ้นส่วนอุปกรณ์ภายในห้องพัก โดยเฉพาะ “บอลแบริ่ง” หรือลูกปราย ที่มีขนาด 0.5 มิลลิเมตร มีความคล้ายคลึงกับวัตถุพยานที่เจ้าหน้าที่เก็บได้จากเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์วันที่ 17 ส.ค. และเหตุระเบิดที่ท่าเรือสาทรวันที่ 18 ส.ค. ซึ่งจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่เชื่อได้ว่าผู้ต้องสงสัยรายนี้มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออยู่ในกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มบุคคลที่ก่อเหตุวางระเบิดในพื้นที่ กทม. ของวันที่ 17-18 ส.ค.ที่ผ่านมา และจากการตรวจสอบในเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยรายดังกล่าว มีความเป็นไปได้ว่า จะไม่ใช่ผู้ที่ถือระเบิดไปวาง แต่เป็นผู้ร่วมขบวนการ

เขากล่าวว่า นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้สืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่องไปถึงผู้ร่วมกระทำความผิดรายอื่นๆ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องสงสัยรายดังกล่าวที่ถูกควบคุมตัวในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทหารได้ควบคุมตัวไปสอบสวนภายในค่ายทหารแห่งหนึ่งแล้ว และเบื้องต้นขณะนี้ยังพบผู้ต้องสงสัยเพียงรายเดียวเท่านั้น

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหมและอดีตผบ.ทบ. ในฐานะเลขานุการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว น่าเป็นความคืบหน้าจากการสืบสวนสอบสวน การแกะรอยจากหลักฐานที่มี ทั้งกล้องวงจรปิด พยานบุคคล การวางกำลังปูพรมค้นหาพื้นที่สงสัยต่างๆ นี้ถือเป็นความก้าวหน้า อย่างไรก็ตาม เท่าที่ทราบมีการตรวจสอบวัตถุประกอบระเบิด แต่ทุกอย่างต้องชัดเจน และต้องระมัดระวัง เพราะอาจจะมีผลเสียในภาพรวมได้เหมือนกัน ซึ่งเรื่องของสอบสวนคงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลัก ส่วนทหารช่วยงานด้านการข่าว ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ได้มอบหมาย

\"บิ๊กตู่\" ขอบคุณ ตร.

ทั้งนี้ ขอประชาชนอดทนรออีก 2-3 วัน เพื่อความกระจ่างของข้อมูล และขอประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ โดยก่อนเกิดเหตุระเบิดที่ราชประสงค์ พบคำเตือนจากต่างประเทศบ้าง แต่อาจเป็นการสร้างสถานการณ์ ยืนยันทหารทำงานร่วมกับตำรวจได้ไม่มีปัญหา พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ดูแลในเวลาเสี่ยงและพื้นที่สำคัญด้วย

ต่อมาเวลา 18.00 น. มีการชี้แจงผ่านทีวีรวมการเฉพาะกิจ โดย พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษก คสช. และพล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก สตช. ร่วมกันแถลงในฐานะศูนย์ติดตามสถานการณ์ คสช.

พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า วันนี้ตั้งแต่เช้า เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้รวมกันตรวจค้นอพาร์ตเมนต์ปากซอยเชื่อมสัมพันธ์ 11 ย่านหนองจอก พบผู้ต้องสงสัยเป็นชายต่างชาติอาศัยอยู่ พร้อมพบวัตถุประกอบระเบิดที่อาจมีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุระเบิดที่ราชประสงค์และสาทร ได้แก่ เชื้อฝักแคระเบิด ชิ้นส่วนลูกปืน จยย.แพ็กสติกเกอร์เพื่อสะดวกในการผลิตระเบิด ท่อเหล็กคอนเทนเนอร์บรรจุระเบิด และพาสปอร์ตต่างประเทศอีกจำนวนมาก ทางเจ้าหน้าที่จึงจับกุมตัวไว้ ส่งให้เจ้าหน้าที่ทหารสอบสวนตรวจสอบ เชื่อว่าเชื่อมโยงเหตุระเบิดทั้งสองแห่ง

ด้าน พ.อ.วินธัยกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจได้ทำงานอย่างแข่งขันในการสืบหาผู้ก่อเหตุระเบิดทั้งสองแห่ง จนถึงเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนมาตรการอื่นได้มีการสั่งเฝ้าระวังให้ความสำคัญจุดเข้า-ออกชายแดนทั่วประเทศ และแหล่งท่องเที่ยว ที่ ผบ.ทบ.กำชับให้เข้มข้นการรักษาความปลอดภัย

แหล่งข่าวจากหน่วยความมั่นคงระบุว่า การจับชายคนดังกล่าวไม่ได้ยึดตามภาพสเกตช์ที่ออกตามหมายจับเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการติดตามและแกะรอยจากโทรศัพท์และกล้องวงจรปิดหลายจุด โดยยึดตามภาพวงจรปิดที่ชายคนดังกล่าวใช้โทรศัพท์ในเวลาใด จากนั้นมีการประสานกับบริษัทในเครือข่ายโทรศัพท์ต่างๆ โดยดูว่าโทร.ติดต่อจากใครไปหาใคร ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เบาะแสและติดตามมาจนเกิดความแน่ชัด โดยติดตามจากชาวตุรกีที่ถือใบอนุญาตทำงานหรือเวิร์กเพอร์มิตและเอกสารการตรวจลงตราผ่าน ตม. โดยตีกรอบให้เหลือน้อยที่สุด จนทางพนักงานสอบสวนได้ข้อสรุปจึงได้มีการประสานในการเข้าจับกุม

\"ที่ต้องรอเวลานี้ ก็เพื่อให้เกิดความแน่ชัดในหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ และการใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบ เพราะสิ่งที่สำคัญคือในการจะดำเนินการทางกฎหมายต้องมีความถูกต้องแน่ชัด ไม่ใช่แพะ โดยคนเหล่านี้เป็นคนสัญชาติอื่นๆ ประเทศนั้นย่อมได้รับผลกระทบ ทางการไทยจึงต้องละเอียดรอบคอบ\" แหล่งข่าวระบุ

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ฝากแสดงความชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องในการคลี่คลายคดีลอบวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์ หลังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุวางระเบิดได้แล้วในช่วงบ่ายวันนี้

\"ท่านนายกฯ ฝากแสดงความชื่นชมเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ทำงานอย่างหนักต่อเนื่องหลายวัน จนนำไปสู่ความคืบหน้าของคดีอย่างมากในวันนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ท่านนายกฯ เป็นห่วงอย่างมากในขณะนี้คือการรายงานข่าวของสื่อมวลชน ที่เสนอบทวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์ จนอาจจะเกินเลยความเป็นจริง และกลายเป็นทำให้ประเทศต้องมีศัตรูหรือสร้างศัตรูจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของการรายงานข่าวนั้น รวมไปถึงการแสดงความคิดเห็น หรือการวิเคราะห์ต่างๆ ในโลกโซเชียลมีเดีย ที่อาศัยการคาดเดาเป็นหลัก ซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ลักษณะนี้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ จึงอยากขอให้ทุกฝ่ายติดตามผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ และการแถลงความคืบหน้าอย่างเป็นทางการจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งมีประจำทุกวัน เพื่อป้องกันความสับสนและคลาดเคลื่อนของข้อมูล\" พล.ต.สรรเสริญ กล่าว.



ที่มา:ไทยโพสต์ Sunday, August 30, 2015 - 00:03